1. Selling Limits
“Selling Limits” เป็นตัวกำหนดจำนวนชิ้น และมูลค่ารวมของสินค้า ว่าในแต่ละเดือน ผู้ขายจะ List ขายสินค้าบน eBay ได้กี่ชิ้น โดยมีมูลค่าการขายรวมทั้งหมดไม่เกินวงเงินเท่าใด โดยผู้ขายมือใหม่อาจจะมี Selling Limits เริ่มต้น ไม่มากนัก ซึ่งถ้าใช้ Selling Limit ครบ (นับจาก sold + active items) และประสบความสำเร็จในการขายอย่างต่อเนื่อง ได้รับ Feedback ที่ดีจากผู้ซื้อ ผู้ขายจะมีโอกาสขอขยาย Selling Limits เพื่อให้ลงขายได้มากขึ้น และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ
2. Item Specifics
“Item Specifics” มีไว้สำหรับให้ผู้ขายใส่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อให้ผู้ซื้อค้นหาสินค้าของคุณได้ง่าย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยระบบจะมีช่องให้กรอกตามคุณสมบัติของสินค้าที่คุณจะขาย ถ้าคุณลงรายละเอียดสินค้าเยอะเท่าไหร่ จะทำให้สินค้าของคุณ ติดอันดับการค้นหาที่ดียิ่งขึ้น
3. Seller Level
“Seller Level” คือตัวสะท้อนความน่าเชื่อถือของผู้ขายโดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ Top-rated, Above Standard และ Below Standard (ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน)
ซึ่งการรักษาสถานะ Seller Level ให้อยู่ในระดับ Top-rated หรือ Above Standard คุณจำเป็นต้อง
- ส่งสินค้าให้กับผู้ซื้ออย่างรวดเร็ว และไม่ล่าช้าเกินกำหนด
- ไม่ละเลยการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น
- ไม่ยกเลิกการขายกลางคันโดยอ้างเหตุผลว่าสินค้าหมด
- ไม่เขียนอธิบายสินค้า หรือ ลงภาพประกอบสินค้าเกินความเป็นจริง เพราะถ้าผู้ซื้อพบว่าสินค้าที่ซื้อไปไม่ได้คุณภาพตามที่กล่าวอ้างไว้ จะกลายเป็นปัญหาในภายหลัง
4. Insertion Fee
“Insertion Fee” คือค่าธรรมเนียมการลงขายสินค้า โดยปกติบน eBay.com สามารถลงขายได้ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม Insertion Fee ในจำนวน 250 ชิ้นแรก/เดือน และจะเริ่มเสียค่าธรรมเนียมในชิ้นที่ 251 เป็นค่าธรรมเนียมที่ไม่มีการคืนเงิน ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ก็ตาม เพราะถือเป็น “ค่าลงประกาศขายสินค้า”
5. Final Value Fee
“Final Value Fee” คือค่าธรรมเนียมเมื่อขายสินค้าได้บน eBay ซึ่งเมื่อคุณขายสินค้าได้ หรือ มีผู้ชนะการประมูลสินค้าของคุณบัญชีผู้ขายของคุณจะถูกคิดค่าธรรมเนียม “Final Value Fee” ซึ่งจะถูกคำนวณจากราคาที่ขายไปได้ + ค่าส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่คุณคิดจากผู้ซื้อ
6. Best Offer
“Best Offer” คือหนึ่งในฟีเจอร์การขายที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อสามารถต่อรองราคากับคุณได้ โดยข้อเสนอจากผู้ซื้อแต่ละครั้งจะอยู่ได้ 48 ชั่วโมง และหลังจากได้รับข้อเสนอ ผู้ขายจะมี 4 ทางเลือก ดังต่อไปนี้
- ยอมรับราคาที่ผู้ซื้อเสนอมา และจบการขาย
- ปฏิเสธราคาที่ผู้ซื้อเสนอ โดยสามารถอธิบายเหตุผลให้ผู้ซื้อทราบได้ หากคุณต้องการ
- เสนอราคาที่สูงขึ้นกว่าที่ผู้ซื้อเสนอมา (Counter Offer) แต่ไม่เท่ากับราคาที่คุณตั้งไว้ในรายการสินค้า โดยผู้ซื้อมีเวลาตอบกลับ 48 ชั่วโมง
- ปล่อยให้ข้อเสนอนั้นหมดอายุไปใน 48 ชั่วโมง
7. Reserve Price
“Reserve Price” คือหนึ่งในฟีเจอร์การลงขายสินค้าแบบประมูล (Auction) ที่เหมาะกับการลงประมูลสินค้าที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ซึ่งถ้ามีการปิดประมูลในราคาต่ำกว่าที่คุณตั้งเอาไว้ ผู้ขายมีสิทธิ์ที่จะขาย หรือไม่ขายสินค้าก็ได้โดยไม่ผิดกฎอะไร
แต่ถ้าหากผู้ขายไม่ได้เปิดใช้งานฟีเจอร์ Reserve Price เอาไว้ตั้งแต่แรก แล้วมาขอยกเลิกการขายในภายหลัง เพราะไม่พอใจกับราคาที่ต้องขายออกไป จะนับว่าเป็นข้อบกพร่องของผู้ขายจนกลายเป็น Defect ประเภท Seller – Initiated Transaction Cancellation และส่งผลให้สถานะของผู้ขายตกไปอยู่ในระดับ Below Standard ได้
8. Handling Time
“Sold Listings” คือประกาศสินค้าที่ขายได้ หรือ สินค้าที่ขายไปแล้ว ผู้ขายมือใหม่สามารถดู “Sold Listings”จากผู้ขายรายอื่น ๆ แล้วสามารถนำมาเป็นตัวอย่างเพื่อปรับแก้ประกาศสินค้าของคุณได้
9. Estimated Delivery Date (EDD)
“Estimated Delivery Date” คือ ช่วงเวลาคาดการณ์ว่าพัสดุจะไปถึงมือลูกค้า โดยระบบจะคำนวนจากการตั้งค่า Handling Time + ระยะเวลา Shipping Service ที่ผู้ขายตั้งค่าไว้ใน Listing
10. Active Listings
“Active Listings” คือ รายการสินค้าที่กำลังประกาศขายอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถ้าผู้ซื้อสนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เลย