10 คำศัพท์สำคัญ ๆ ที่ผู้ขายมือใหม่บน eBay ควรรู้

1. Selling Limits

“Selling Limits” เป็นตัวกำหนดจำนวนชิ้น และมูลค่ารวมของสินค้า ว่าในแต่ละเดือน ผู้ขายจะ List ขายสินค้าบน eBay ได้กี่ชิ้น โดยมีมูลค่าการขายรวมทั้งหมดไม่เกินวงเงินเท่าใด โดยผู้ขายมือใหม่อาจจะมี Selling Limits เริ่มต้น ไม่มากนัก ซึ่งถ้าใช้ Selling Limit ครบ (นับจาก sold + active items) และประสบความสำเร็จในการขายอย่างต่อเนื่อง ได้รับ Feedback ที่ดีจากผู้ซื้อ ผู้ขายจะมีโอกาสขอขยาย Selling Limits เพื่อให้ลงขายได้มากขึ้น และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ

2. Item Specifics

“Item Specifics” มีไว้สำหรับให้ผู้ขายใส่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อให้ผู้ซื้อค้นหาสินค้าของคุณได้ง่าย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยระบบจะมีช่องให้กรอกตามคุณสมบัติของสินค้าที่คุณจะขาย ถ้าคุณลงรายละเอียดสินค้าเยอะเท่าไหร่ จะทำให้สินค้าของคุณ ติดอันดับการค้นหาที่ดียิ่งขึ้น

3. Seller Level

“Seller Level” คือตัวสะท้อนความน่าเชื่อถือของผู้ขายโดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ Top-rated,  Above Standard และ Below Standard (ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน)

ซึ่งการรักษาสถานะ Seller Level ให้อยู่ในระดับ Top-rated หรือ Above Standard คุณจำเป็นต้อง

  • ส่งสินค้าให้กับผู้ซื้ออย่างรวดเร็ว และไม่ล่าช้าเกินกำหนด
  • ไม่ละเลยการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น
  • ไม่ยกเลิกการขายกลางคันโดยอ้างเหตุผลว่าสินค้าหมด
  • ไม่เขียนอธิบายสินค้า หรือ ลงภาพประกอบสินค้าเกินความเป็นจริง เพราะถ้าผู้ซื้อพบว่าสินค้าที่ซื้อไปไม่ได้คุณภาพตามที่กล่าวอ้างไว้ จะกลายเป็นปัญหาในภายหลัง

4. Insertion Fee

“Insertion Fee” คือค่าธรรมเนียมการลงขายสินค้า โดยปกติบน eBay.com สามารถลงขายได้ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม Insertion Fee ในจำนวน 250 ชิ้นแรก/เดือน และจะเริ่มเสียค่าธรรมเนียมในชิ้นที่ 251  เป็นค่าธรรมเนียมที่ไม่มีการคืนเงิน ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ก็ตาม เพราะถือเป็น “ค่าลงประกาศขายสินค้า”

5. Final Value Fee

“Final Value Fee” คือค่าธรรมเนียมเมื่อขายสินค้าได้บน eBay ซึ่งเมื่อคุณขายสินค้าได้ หรือ มีผู้ชนะการประมูลสินค้าของคุณบัญชีผู้ขายของคุณจะถูกคิดค่าธรรมเนียม “Final Value Fee” ซึ่งจะถูกคำนวณจากราคาที่ขายไปได้ + ค่าส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่คุณคิดจากผู้ซื้อ

6. Best Offer

“Best Offer” คือหนึ่งในฟีเจอร์การขายที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อสามารถต่อรองราคากับคุณได้ โดยข้อเสนอจากผู้ซื้อแต่ละครั้งจะอยู่ได้ 48 ชั่วโมง และหลังจากได้รับข้อเสนอ ผู้ขายจะมี 4 ทางเลือก ดังต่อไปนี้

  1. ยอมรับราคาที่ผู้ซื้อเสนอมา และจบการขาย
  2. ปฏิเสธราคาที่ผู้ซื้อเสนอ โดยสามารถอธิบายเหตุผลให้ผู้ซื้อทราบได้ หากคุณต้องการ
  3. เสนอราคาที่สูงขึ้นกว่าที่ผู้ซื้อเสนอมา (Counter Offer) แต่ไม่เท่ากับราคาที่คุณตั้งไว้ในรายการสินค้า โดยผู้ซื้อมีเวลาตอบกลับ 48 ชั่วโมง
  4. ปล่อยให้ข้อเสนอนั้นหมดอายุไปใน 48 ชั่วโมง

7. Reserve Price

“Reserve Price” คือหนึ่งในฟีเจอร์การลงขายสินค้าแบบประมูล (Auction) ที่เหมาะกับการลงประมูลสินค้าที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ซึ่งถ้ามีการปิดประมูลในราคาต่ำกว่าที่คุณตั้งเอาไว้ ผู้ขายมีสิทธิ์ที่จะขาย หรือไม่ขายสินค้าก็ได้โดยไม่ผิดกฎอะไร 

แต่ถ้าหากผู้ขายไม่ได้เปิดใช้งานฟีเจอร์ Reserve Price เอาไว้ตั้งแต่แรก แล้วมาขอยกเลิกการขายในภายหลัง เพราะไม่พอใจกับราคาที่ต้องขายออกไป จะนับว่าเป็นข้อบกพร่องของผู้ขายจนกลายเป็น Defect ประเภท Seller – Initiated Transaction Cancellation และส่งผลให้สถานะของผู้ขายตกไปอยู่ในระดับ Below Standard ได้

8. Handling Time

“Sold Listings” คือประกาศสินค้าที่ขายได้ หรือ สินค้าที่ขายไปแล้ว ผู้ขายมือใหม่สามารถดู “Sold Listings”จากผู้ขายรายอื่น ๆ แล้วสามารถนำมาเป็นตัวอย่างเพื่อปรับแก้ประกาศสินค้าของคุณได้

9. Estimated Delivery Date (EDD)

“Estimated Delivery Date” คือ ช่วงเวลาคาดการณ์ว่าพัสดุจะไปถึงมือลูกค้า โดยระบบจะคำนวนจากการตั้งค่า Handling Time + ระยะเวลา Shipping Service ที่ผู้ขายตั้งค่าไว้ใน Listing  

10. Active Listings

“Active Listings” คือ รายการสินค้าที่กำลังประกาศขายอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถ้าผู้ซื้อสนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เลย

อ่านเคล็ดลับสำหรับผู้ขาย คลิก Selling Tips

บทความที่เกี่ยวข้อง