สินค้า 3 ประเภทที่ควรนํามาขายบน eBay

1. สินค้าซื้อง่าย ขายคล่อง (High Velocity Products) ถึงบางอย่างจะได้กำไรไม่มากแต่มีคนซื้ออยู่เรื่อย ๆ

สินค้าที่ขายดี ขายง่าย จะทำให้คุณมีเงินหมุนเวียนทำธุรกิจได้อย่างคล่องตัว 
พร้อม ๆ กับเพิ่มโอกาสที่จะได้รับคะแนน Feedback จากผู้ซื้อ 
เพราะมี Transactions เป็นจำนวนมาก ยิ่งถ้าคุณมีการจัดส่งที่สะดวก 
รวดเร็ว ก็จะเพิ่มโอกาสให้ขายสินค้าได้ง่ายขึ้นไปอีก ที่สำคัญคือ ยิ่งขายดี
เราต้องคอยบริหารสต็อกให้ดีคอยเติมสต็อกให้มีของมากพอขายอยู่ตลอดเวลา 

ข้อดีของการขายสินค้าที่ขายดี ขายง่าย ถึงราคาจะไม่แพงก็จริง 
แต่ก็ทำให้คุณมี Positive Transactions สะสมไว้เป็นจำนวนมาก 
ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้คุณอยู่ในระดับ Above Standard ได้นานยิ่งขึ้น 
และไม่ตกไปอยู่ในระดับ Below Standard ได้ง่าย ๆ

ซึ่งสถานะบัญชีจะตกไปอยู่ในระดับ Below Standard ได้ก็ต่อเมื่อ
มีค่า Defect Rate 0.03% เทียบได้กับ 3 Defects จาก 1,000 Transactions หมายความว่าคุณต้องมี Positive Transactions มากกว่า 333 ครั้ง  ถ้ามีกรณี Defect 1 ครั้ง จึงจะยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่สมมติว่าถ้าคุณ
มีเพียง 100 Transactions แล้วโดนกรณี Defect เข้าไป 1 ครั้ง 
คุณจะตกไปอยู่ในระดับ Below Standard ได้

ตัวอย่างสินค้าในกลุ่มนี้ก็คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือ 
และคอมพิวเตอร์ อาทิ Adapter Connector Cables (USB , VGA , HDMI , Micro USB , Audio , Male/Female) หรืออุปกรณ์เสริมสวย เครื่องแต่งกาย  เครื่องประดับแฟชั่น รองเท้า เสื้อผ้ากีฬา หรือชิ้นส่วนรถยนต์ที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ไส้กรองอากาศ เป็นต้น

2. สินค้าใหม่ ๆ ทันสมัย นำเทรนด์ หรือสินค้าที่มีความโดดเด่น แตกต่างจากคู่แข่ง หรือสินค้าที่ได้รับความนิยมตามฤดูกาล (New, Trendy, Seasonal Products)

คุณควรมี Listing จำนวนหนึ่งที่ไว้สำหรับลงขายสินค้าใหม่ ๆ เพื่อใช้ทดลองตลาด
ว่าอะไรจะโดนใจผู้ซื้อ ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้ ถ้าหากขายดีขึ้นมา ก็จะจัดไปอยู่ในกลุ่มแรก
ได้เช่นกัน แต่ในบางครั้งสินค้ากลุ่มนี้ก็อาจจะขายดีเป็นช่วง ๆ ตามฤดูกาลที่มี
Seasonality ซึ่งก็นับเป็นโอกาสที่จะทดลองหาของแปลก ๆ ใหม่ ๆ
มาขายเพื่อขยายตลาดอยู่เรื่อย ๆ 

ตัวอย่างสินค้าในกลุ่มนี้ก็คือ Hug Lights / Reading Lights ซึ่งเป็นไฟฉายแบบเส้นใช้คล้องคอเมื่ออ่านหนังสือ ที่เพิ่งได้รับความนิยมไม่นานมานี้ และสินค้าที่เป็นของใช้ ของขวัญตามเทศกาล เช่น ฮาโลวีน คริสต์มาส วาเลนไทน์ อีสเตอร์ รวมถึงช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ในเดือนกันยายนของทุกๆ ปี ซึ่งวัยรุ่นนิยมซื้อของแต่งบ้านที่จำเป็นไปตกแต่งหอพักใหม่ของพวกเขา 

สินค้าใหม่ๆ หรือสินค้าตามเทศกาลนี้ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสต็อกเยอะ
คือขายหมดล็อตแล้วก็หมดไป เปลี่ยนสินค้าเป็นชุดใหม่เรื่อย ๆ
แต่ยังต้องบริหารสต็อกให้ดี อาจเปิด out-of-stock option ไว้ หรือถ้าของหมดแล้ว
ไม่สามารถเติมสต็อกได้อีก ควรรีบ end item ป้องกันมิให้ลูกค้ามาสั่งซื้อแล้ว
เราไม่มีของส่งให้ลูกค้า

3. สินค้าเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นที่ความหลากหลาย (Long Tail Products)

สินค้า Long Tail เน้นความหลากหลาย อาจไม่จำเป็นต้องมีสต็อกมาก 
เพราะเป็นสินค้าที่ใช้ระยะเวลาในการขายค่อนข้างนาน แต่สามารถทำกำไรได้สูง
เช่น อะไหล่ของรถยนต์ อุปกรณ์ตกแต่งรถมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น 

เทคนิคการขายสินค้าเหล่านี้ คือเน้นไปที่ความหลากหลาย และการเก็บข้อมูลลูกค้า
รุ่นของรถที่ลูกค้าซื้อไปซ่อม อาทิ ยี่ห้อ โมเดล ปี พวงมาลัยซ้ายหรือขวา ฯลฯ
เพราะผู้ซื้อกลุ่มนี้ มักจะมีพฤติกรรมซื้อซ้ำกับผู้ขายรายเดิมที่มีความไว้วางใจกัน

ดังนั้นคุณจึงควรจดบันทึกว่าลูกค้าแต่ละราย เลือกซื้ออะไหล่สำหรับรถรุ่นใด
เผื่อว่าในอนาคตคุณมีอะไหล่ที่ใช้งานกับรถรุ่นนั้น ๆ ก็จะได้มีโอกาสที่จะติดต่อซื้อขายกับลูกค้ารายเก่าของคุณได้

บทความที่เกี่ยวข้อง